[Font : 15 ]
| |
ปฏิจจสมุปบาท เป็นสิ่งที่ต้องเห็นด้วยยถาภูตสัมมัปปัญญา แม้ที่ยังเป็นเสขะเป็นอย่างน้อย

ปฏิจจสมุปบาท เป็นสิ่งที่ต้องเห็นด้วยยถาภูตสัมมัปปัญญา แม้ที่ยังเป็นเสขะเป็นอย่างน้อยPTC129

ครั้งหนึ่ง พระมุสิละ พระปวิฏฐะ พระนารทะและพระอานนท์ อยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี. ครั้งนั้น พระปวิฏฐะได้กล่าวกับพระมุสิละว่า:-

“ดูก่อนท่านมุสิละ! ถ้าเว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย, เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟังตามๆ กันมาเสีย, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย, เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย ; ญาณเป็นเครื่องรู้เฉพาะตนจริงๆ จะมีแก่ท่านมุสิละว่า ‘เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ’ ดังนี้ ได้หรือ ?”

“ดูก่อนท่านปวิฏฐะ ! แม้เว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย, เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟังตามๆ กันมาเสีย, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย, เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย ; กระผมก็ย่อมรู้ย่อมเห็นซึ่งธรรมข้อนั้นได้ว่า ‘เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ’ ดังนี้.

(พระปวิฏฐะได้ถามเป็นลำดับไปถึงข้อที่เกี่ยวกับชาติ เกี่ยวกับภพ เกี่ยวกับอุปาทาน เกี่ยวกับตัณหา เกี่ยวกับเวทนา เกี่ยวกับผัสสะ เกี่ยวกับสฬายตนะ เกี่ยวกับนามรูป เกี่ยวกับวิญญาณ ด้วยคำถามเดียวกัน พระมุสิละก็ได้ตอบยืนยันด้วยคำตอบอย่างเดียวกัน จนถึงข้อสุดท้าย:-)

“ดูก่อนท่านมุสิละ! ถ้าเว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย, เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟังตามๆ กันมาเสีย, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวด้อมภายนอก) เสีย, เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย ; ญาณเป็นเครื่องรู้เฉพาะตนจริงๆ จะมีแก่ท่านมุสิละว่า ‘เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย’ ดังนี้ ได้หรือ ?”

“ดูก่อนท่านปวิฏฐะ ! แม้เว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย, เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟังตามๆ กันมาเสีย, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย, เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย ; กระผมก็ย่อมรู้ย่อมเห็นซึ่งธรรมข้อนั้นได้ว่า ‘เพราะมีอวิชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย’ ดังนี้ ได้หรือ ?”

(พระปวิฏฐะได้ถามพระมุสิละต่อไปถึงอาการปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร เป็นลำดับๆ ไป จนกระทั่งข้อสุดท้าย:-)

“ดูก่อนท่านมุสิละ ! ถ้าเว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย, เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟังตามๆ กันมาเสีย, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย, เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิขอตนเสีย ; ญาณเป็นเครื่องรู้เฉพาะตนจริงๆ จะมีแก่ท่านมุสิละว่า ‘เพราะมีความดับแห่งอวิชชา จึงมีความดับแห่งสังขาร’ ดังนี้ ได้หรือ ?”

“ดูก่อนท่านปวิฏฐะ ! แม้เว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย, เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟังตามๆ กันมาเสีย, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย, เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย; กระผมก็ย่อมรู้ย่อมเห็นซึ่งธรรมข้อนั้นได้ว่า ‘เพราะมีความดับแห่งอวิชชา จึงมีความดับแห่งสังขาร’ ดังนี้”.

“ดูก่อนท่านมุสิละ! ถ้าเว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย, เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟังตามๆ กันมาเสีย, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย, เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย ; ญาณเป็นเครื่องรู้เฉพาะตนจริงๆ จะมีแก่ท่านมุสิละว่า ‘การดับแห่งภพ คือนิพพาน’ ดังนี้ ได้หรือ ?”

“ดูก่อนท่านปวิฎฐะ ! แม้เว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย, เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟังตามๆ กันมาเสีย, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย, เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย ; กระผมก็ย่อมรู้ย่อมเห็นซึ่งธรรมข้อนั้นได้ว่า ‘การดับแห่งภพ คือนิพพาน’ ดังนี้

“ดูก่อนท่านมุสิละ! ถ้าอย่างนั้น ท่านเป็นพระอรหันตขีณาสพหรือ ?”

เมื่อถูกถามอย่างนี้ พระมุสิละได้นิ่งเสีย

(ลำดับนั้น พระนารทะได้เสนอตัวเข้ามาให้พระปวิฏฐะถามปัญหาอย่างเดียวกันนั้นบ้าง เมื่อพระปวิฏฐะถาม พระนารทะก็ตอบอย่างเดียวกันกับที่พระมุสิละได้ตอบแล้ว ทั้งในส่วน สมุทยวาร และนิโรธวาร จนกระทั่งถึงคำถามและคำตอบคู่สุดท้าย:-)

“ดูก่อนท่านนารทะ! ถ้าเว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย, เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟังตามๆ กันมาเสีย, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย, เว้นการเห็นว่ามันเข้าได้กับทิฏฐิของตนเสีย ; ญาณเป็นเครื่องรู้เฉพาะตนจริงๆ จะมีแก่ท่านมุสิละว่า ‘การดับแห่งภพ คือนิพพาน’ ดังนี้ ได้หรือ ?”

“ดูก่อนท่านปวิฏฐะ ! แม้เว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย, เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟังตามๆ กันมาเสีย, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย, เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย ; กระผมก็ย่อมรู้ย่อมเห็นซึ่งธรรมข้อนั้นได้ว่า ‘การดับแห่งภพ คือนิพพาน’ ดังนี้

“ดูก่อนท่านนารทะ ! ถ้าอย่างนั้น ท่านเป็นพระอรหันตขีณาสพหรือ ?”

“ดูก่อนท่าน ! ธรรมที่ว่า ‘ความดับแห่งภพ คือนิพพาน’ นั้น เป็นธรรมที่กระผมเห็นแล้วด้วยดี ด้วยยถาภูตสัมมัปปัญญาPTC130 จริงๆ แต่กระผมก็หาเป็นพระอรหันตขีณาสพไม่. ดูก่อนท่าน ! เปรียบเหมือนบ่อน้ำ มีอยู่ริมหนทางอันกันดาร, ที่บ่อนั้น เชือกก็ไม่มี ครุสำหรับตักน้ำก็ไม่มี. ลำดับนั้น มีบุรุษผู้ถูกความร้อนแผดเผาแล้ว ถูกความร้อนครอบงำแล้ว อ่อนเพลียอยู่ หิวกระหายอยู่ มาถึงบ่อนั้นแล้ว ; บุรุษนั้นมองลงในบ่อนั้น เขามีความรู้สึกว่า น้ำในบ่อนั้นมีอยู่ แต่เขาไม่อาจจะทำให้น้ำนั้นถูกต้องกายเขาได้, ฉันใด; ดูก่อนท่าน! ข้อนี้ก็ฉันนั้น : ธรรมที่ว่า ‘การดับแห่งภพ คือนิพพาน’ นั้น เป็นธรรมที่กระผมเห็นแล้วด้วยดี ด้วยยถาภูตสัมมัปปัญญาจริงๆ แต่กระผมก็หาเป็นอรหันตขีณาสพไม่”.

ครั้นพระนารทะกล่าวอย่างนี้แล้ว พระอานนท์ได้หันไปกล่าวกะพระปวิฏฐะว่า “ดูก่อนท่านปวิฏฐะ ! ท่านเป็นผู้ขี้มักถามอย่างนี้ ได้กล่าวอะไรแก่ท่านนารทะบ้าง ?.

พระปวิฏฐะได้ตอบว่า “ดูก่อนท่านอานนท์ ! ผมซึ่งเป็นผู้ขี้มักถามอย่างนี้ไม่ได้กล่าวเรื่องอะไรๆ กะพระนารทะเลย นอกจากเรื่องที่งดงาม และเรื่องที่เป็นกุศล”, ดังนี้ แล.

หมายเหตุผู้รวบรวม : การที่นำเอาเรื่องของพระสาวกมากล่าวไว้ในที่นี้ (ซึ่งล้วนแต่เป็นพุทธภาสิต) ก็เพื่อจะให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจความหมายของคำว่า “ยถาภูตสัมมัปปัญญา” โดยชัดเจน จากถ้อยคำที่พระสาวกเหล่านั้นโต้ตอบกัน ; เนื่องจากว่า ไม่มีที่ใดจะแสดงให้เห็นลักษณะของสิ่งที่เรียกว่า “ยถาภูตสัมมัปปัญญา” ได้ดีกว่าข้อความในเรื่องนี้.


เกี่ยวกับธรรมโฆษณ์ออนไลน์ (Disclaimer)
แม้ระบบ "ธรรมโฆษณ์ออนไลน์" พยายามปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้องมากที่สุด ผู้ศึกษาก็พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือต้นฉบับ ที่มีการพิมพ์ครั้งล่าสุด ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง"

  |     |   แจ้งข้อผิดพลาด / แนะนำ