ไปยังหน้า : |
[Font : 15 ]
|
| | |
"อย่าเลย วักกลิ! ประโยชน์อะไรด้วยการเห็นกายเน่านี้. วักกลิ! ผู้ใดเห็นธรรม, ผู้นั้นเห็นเรา; ผู้ใดเห็นเรา, ผู้นั้นเห็นธรรม. วักกลิ! เพราะว่าเมื่อเห็นธรรมอยู่ ก็คือเห็นเรา; เมื่อเห็นเราอยู่ ก็คือเห็นธรรม." -(ขนฺธ. สํ.17/146/216).
"...ผู้ใด เห็นปฏิจจสมุปบาท, ผู้นั้น ชื่อว่าเห็นธรรม; ผู้ใดเห็นธรรม, ผู้นั้น ชื่อว่า เห็นปฏิจจสมุปบาท..." -(มู.ม.12/359/346).
"ภิกษุ ท! แม้ภิกษุจับชายสังฆาฏิ เดินตามรอยเท้าเราไปข้างหลังๆ, แต่ถ้าเธอนั้น มากไปด้วยอภิชฌา มีกามราคะกล้า มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจเป็นไปในทางประทุษร้าย มีสติหลงลืม ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่เป็นสมาธิ แกว่งไปแกว่งมา ไม่สำรวมอินทรีย์, แล้วไซร้; ภิกษุนั้นชื่อว่าอยู่ไกลจากเรา แม้เราก็อยู่ไกลจากภิกษุนั้นโดยแท้. ข้อนั้น เพราะเหตุไรเล่า? ภิกษุ ท.! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ภิกษุนั้นไม่เห็นธรรม: เมื่อไม่เห็นธรรม ก็ชื่อว่าไม่เห็นเรา.
"ภิกษุ ท.! แม้ภิกษุนั้น จะอยู่ห่าง (จากเรา) ตั้งร้อยโยชน์ แต่ถ้าเธอนั้น ไม่มากไปด้วยอภิชฌา ไม่มีกามราคะกล้า ไม่มีจิตพยาบาท ไม่มีความดำริแห่งใจเป็นไปในทางประทุษร้าย มีสติตั้งมั่น มีสัมปชัญญะ มีจิตเป็นสมาธิ ถึงความเป็นเอกัคคตา สำรวมอินทรีย์แล้วไซร้; ภิกษุนั้นชื่อว่าอยู่ใกล้กับเรา แม้เราก็อยู่ใกล้กับภิกษุนั้นโดยแท้. ข้อนั้น เพราะเหตุไรเล่า? ภิกษุ ท.! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ภิกษุนั้น เห็นธรรม : เมื่อเห็นธรรม ก็ชื่อว่าเห็นเรา แล". -(ข้อนี้หมายความว่า ผู้ที่มีธรรมอยู่ในใจ รู้สึกต่อธรรมนั้นๆ อยู่ในใจ ย่อมเป็นการเห็นธรรมอยู่ในใจพระองค์ทรงประสงค์ให้เห็นธรรมเช่นนี้ ที่กล่าวว่าเป็นการเห็นพระองค์) -อิติวุ.ขุ.25/300/272.