[Font : 15 ]
| |
ทรงบัญญัติโลกุตตรธรรมสำหรับคนทั่วไป |  

"พระโคดมผู้เจริญ! พราหมณ์ทั้งหลายย่อมบัญญัติทรัพย์ 4 ประการ แก่พวกกษัตริย์ พราหมณ์เวสส์ และสูทท์, คือบัญญัติการเที่ยวภิกขาจารเป็นทรัพย์ของพราหมณ์,คันศรและกล่องลูกศรเป็นทรัพย์ของกษัตริย์, ไถและโครักขกรรมเป็นทรัพย์ของเวสส์, เคียวและไม้คานเป็นทรัพย์ของสูทท์. เมื่อพราหมณ์เหยียดการภิกขาจาร กษัตริย์เหยียดคันศรและกล่องลูกศร เวสส์เหยียดไถและโครักขกรรม สูทท์เหยียดเคียวกับไม้คาน ซึ่งแต่ละอย่างๆเป็นทรัพย์ของตนๆเสีย ย่อมชื่อว่าทำกิจนอกหน้าที่ เช่นเดียวกับเด็กเลี้ยงโคเที่ยวถือเอาสิ่งของอันเจ้าของมิได้ให้เหมือนกัน. พระโคดมผู้เจริญ! พราหมณ์ทั้งหลายย่อมบัญญัติทรัพย์ 4 ประการ อย่างนี้แล; ส่วนพระโคดมเล่า กล่าวอย่างไรในเรื่องนี้?"

พราหมณ์! ก็โลกทั้งปวงยอมรับรู้การบัญญัติทรัพย์ 4 ประการนี้ของพราหมณ์เหล่านั้น ว่าพราหมณ์ทั้งหลายจงบัญญัติทรัพย์ 4 ประการเหล่านี้เถิดดังนี้หรือ?

"หามิได้ พระโคดม!"

พราหมณ์ ! ถ้าอย่างนั้น มันก็เหมือนกับคนยากจนเข็ญใจไม่มีทรัพย์ติดตัว ทั้งไม่ปรารถนาจะได้เนื้อ แต่มีคนถือเนื้อส่วนหนึ่งชูขึ้นให้ ว่า บุรุษผู้เจริญ!เนื้อนี้น่ากินสำหรับท่าน และค่าของเนื้อท่านจะต้องใช้ ดังนี้ฉันใด; พราหมณ์! ย่อมเป็นฉันเดียวกันแท้ ที่พราหมณ์ทั้งหลายไม่ได้รับปฏิญญาจากสมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย, แล้วยังบัญญัติทรัพย์ 4 ประการเหล่านี้ขึ้น. พราหมณ์เอย! เราบัญญัติโลกุตตรธรรมอันประเสริฐ ว่าเป็นทรัพย์ของคน. ต่อเมื่อระลึกถึงสกุลวงศ์ทางมารดาหรือบิดาของเขาแต่กาลก่อน อัตตภาพของเขา เกิดขึ้นในวรรณะใด เขาจึงถูกนับเข้าไว้โดยวรรณะนั้นๆ. ถ้าอัตตภาพของเขา เกิดในสกุลกษัตริย์ก็ถูกนับว่าเป็นกษัตริย์, ถ้าอัตตภาพของเขาเกิดขึ้นในสกุลพราหมณ์ ก็ถูกนับว่าเป็นพราหมณ์, ถ้าอัตตภาพของเขา เกิดขึ้นในสกุลเวสส์ ก็ถูกนับว่าเป็นเวสส์, ถ้าอัตตภาพของเขาเกิดขึ้นในสกุลสูทท์ ก็ถูกนับว่าเป็นสูทท์.

พราหมณ์! เช่นเดียวกับไฟ ถ้าอาศัยอะไรเกิดขึ้น ก็ถูกนับว่าเป็นไฟที่เกิดขึ้นแต่สิ่งนั้นๆ : ถ้าไฟอาศัยไม้ฟืนโพลงขึ้น ถูกนับว่าเป็นไฟที่เกิดจากฟืน,ถ้าไฟอาศยสะเก็ดไม้โพลงขึ้น ก็ถูกนับว่าเป็นไฟ สะเก็ดไม้, ถ้าไฟอาศัยหญ้าแห้งเกิดขึ้น ก็ถูกนับว่าเป็นไฟหญ้าแห้ง, ถ้าไฟอาศัยขี้วัวเกิดขึ้น ก็ถูกนับว่า เป็นไฟขี้วัว, นี้ฉันใด; พราหมณ์เอย! เราบัญญัติโลกุตตรธรรมอันประเสริฐ ว่าเป็นทรัพย์ของคน, ต่อเมื่อเขาระลึกถึงสกุลวงศ์ทางมารดาหรือบิดาแต่เก่าก่อนของเขาเขาจึงจะถูกนับว่าเป็นพวกนั้นๆ ตามแต่ที่อัตตภาพของเขาเกิดขึ้นในสกุลใดๆ ฉันนั้นเหมือนกัน.

พราหมณ์ ! ถ้ากุลบุตรออกบวชจากสกุลกษัตริย์ และเขาได้อาศัยธรรมและวินัย อันตถาคตประกาศแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากปาณิติบาต จากอทินนาทานจากเมถุนธรรม, เป็นผู้เว้นขาดจากมุสาวาท จากปิสุณาวาท จากผรุสวาท จากสัมผัปปลาปวาท, เป็นผู้ไม่มีอภิชฌา ไม่มีจิตพยาบาท เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ, ก็ย่อมประสบความสำเร็จ เป็นความปลื้มใจจากผลแห่งกุศลธรรม อันเป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้.

พราหมณ์ ! แม้กุลบุตรออกบวชจากสกุลพราหมณ์...สกุลเวสส์...สกุลสูทท์ (ก็ย่อมเป็นอย่างเดียวกัน).

พราหมณ์ ! ท่านเข้าใจว่าอย่างไร : พราหมณ์พวกเดียวเท่านั้นหรือที่สมควรเจริญเมตตาจิต อันไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ในธรรมลัทธินั้นๆ? กษัตริย์ไม่ควรหรือ? เวสส์ไม่ควรหรือ? สูทท์ไม่ควรหรือ?

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ข้อนั้นหามิได้. กษัตริย์ก็สมควร เวสส์ก็สมควรสูทท์ก็สมควร, คนทั้งปวงสมควรแผ่เมตตาจิต อันไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ในธรรม-ลัทธินั้นๆ ทั่วกัน".

อย่างเดียวกันแหละพราหมณ์ ! กุลบุตรออกบวชจากสกุลกษัตริย์ก็ตามจากสกุลพราหมณ์ก็ตาม จากสกุลเวสส์ก็ตาม จากสกุลสูทท์ก็ตาม และได้อาศัยธรรมและวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว เป็นผู้เว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ (เป็นต้นกระทั่งมีสัมมาทิฏฐิเป็นที่สุด) ได้แล้ว ย่อมประสบความสำเร็จเป็นความปลื้มใจจากผลแห่งกุศลธรรม อันเป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้ ทั้งนั้น.

พราหมณ์ ! ท่านเข้าใจว่าอย่างไร : พราหมณ์พวกเดียวเท่านั้นหรือที่สมควรจะถือเกลียวผ้าสำหรับการอาบ ไปสู่แม่น้ำ และขัดสีตัวให้สะอาด? กษัตริย์ไม่ควรหรือ? เวสส์ไม่ควรหรือ? สูทท์ไม่ควรหรือ?

"ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ! ข้อนั้นหามิได้. กษัตริย์ก็สมควร เวสส์ก็สมควรสูทท์ก็สมควร คนทั้งปวงสมควรถือเอาเกลียวผ้าสำหรับการอาบไปสู่แม่น้ำและขัดสีตัวให้สะอาดด้วยกันทั้งนั้น".

อย่างเดียวกันแหละพราหมณ์! กุลบุตรออกบวชจากสกุลกษัตริย์ก็ตามจากสกุลพราหมณ์ก็ตาม จากสกุลเวสส์ก็ตาม จากสกุลสูทท์ก็ตาม และได้อาศัยธรรมและวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว เป็นผู้เว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ (เป็นต้น กระทั่งมีสัมมาทิฏฐิเป็นที่สุด) ได้แล้ว ย่อมประสบความสำเร็จเป็นความปลื้มใจจากผลแห่งกุศลธรรม อันเป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้ ทั้งนั้น.

พราหมณ์ ! ท่านเข้าใจว่าอย่างไรในเรื่องนี้, คือขัตติยราชาผู้ได้มุรธาภิเษกแล้ว รับสั่งให้ประชุมบุรุษจำนวนหลายร้อย มีชาติสกุลต่างกัน โดยทรงบังคับว่า "มาเถิดท่านทั้งหลาย ! ท่านผู้ใดเกิดจากสกุลกษัตริย์ สกุลพราหมณ์และสกุลที่เกี่ยวเนื่องกับราชสกุล ท่านผู้นั้นจงถือเอาไม้สากะ หรือไม้สาละ หรือไม้สลฬะ หรือไม้ปทุมกะ หรือไม้จันทนะ (อย่างใดอย่างหนึ่ง) มาทำไม้สีไฟอันบนแล้วจงสีให้เกิดไฟ ทำเตโชธาตุให้ปรากฏ. ส่วนท่านผู้ใดเกิดแล้วจากสกุลจัณฑาลสกุลพวกพราน สกุลจักสาน สกุลทำรถสกุลเทหยากเยื่อ ท่านเหล่านั้นจงถือเอาไม้รางอาหารสุนัข ไม้รางอาหารสุกร ไม้รางย้อมผ้า หรือท่อนไม้ละหุ่ง (อย่างใดอย่างหนึ่ง) มาทำไม้สีไฟอันบน แล้วจงสีให้เกิดไฟ ทำเตโชธาตุให้ปรากฏเถิด" ดังนี้. พราหมณ์ ! ท่านเข้าใจว่าอย่างไร : ไฟที่เกิดขึ้นจากไม้สีไฟที่ทำด้วยไม้สากะ หรือไม้สาละ หรือไม้สลฬะ ไม้ปทุมกะ หรือไม้จันทนะของพวกที่เกิดจากสกุลกษัตริย์ พราหมณ์ หรือสกุลที่เกี่ยวเนื่องกับราชสกุล นั้น เป็นไฟที่มีเปลว มีสี มีรัศมี และใช้ทำกิจต่างง ๆ ที่ต้องการทำเนื่องด้วยไฟได้; ส่วนไฟที่เกิดจากไม้รางอาหารสุนัข ไม้รางอาหารสุกร ไม้รางย้อมผ้า ไม้ละหุ่ง ของพวกที่เกิดจากสกุลจัณฑาล สกุลพวกพราน สกุลจักสาน สกุลทำรถ สกุลเทหยากเยื่อ นั้นเป็นไฟที่ไม่มีเปลว ไม่มีสี ไม่มีรัศมี และไม่ อาจใช้ทำกิจต่างๆ ที่ต้องทำด้วยไฟได้,ดังนี้ เช่นนั้นหรือ?

"พระโคดมผู้เจริญ! ข้อนั้นหามิได้."

พราหมณ์ อย่างเดียวกันนั้นแหละ ! กุลบุตรออกบวชจากสกุลกษัตริย์ก็ตาม สกุลพราหมณ์ก็ตาม สกุลเวสส์ก็ตาม สกุลสูทท์ก็ตาม และได้อาศัยธรรมและวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว เป็นผู้เว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ (เป็นต้น กระทั่งมีสัมมาทิฏฐิเป็นที่สุด) ได้แล้ว ย่อมประสบความสำเร็จเป็นความปลื้มใจ จากผลแห่งกุศลธรรมอันเป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้ ทั้งนั้น.

- บาลี เอสุการีสูตร ม.ม. 13/614/665. ตรัสแก่เอสุการีพราหมณ์ ที่เชตวัน.


เกี่ยวกับธรรมโฆษณ์ออนไลน์ (Disclaimer)
แม้ระบบ "ธรรมโฆษณ์ออนไลน์" พยายามปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้องมากที่สุด ผู้ศึกษาก็พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือต้นฉบับ ที่มีการพิมพ์ครั้งล่าสุด ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง"

  |     |   แจ้งข้อผิดพลาด / แนะนำ
หนังสือที่เกี่ยวข้อง