[Font : 15 ]
| |
อาสวักขยญาณทำให้เป็นสมณะจริง |  

ภิกษุ ท.! ภิกษุนั้น, ครั้นจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยนควรแก่การงาน ตั้งอยู่ได้อย่างไม่หวั่นไหว เช่นนี้แล้ว, เธอ ก็น้อมจิตไปเฉพาะต่ออาสวักขญาณ. เธอย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า "ทุกข์ เป็นเช่นนี้ๆ, เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเช่นนี้ๆ, ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ, ข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นเช่นนี้ๆ; และว่า เหล่านี้เป็นอาสวะทั้งหลาย, นี้เหตุแห่งอาสวะทั้งหลาย, นี้ความดับไม่เหลือแห่งอาสวะทั้งหลาย, นี้ข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งอาสวะทั้งหลาย". เมื่อเธอรู้อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตก็พ้นจากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ. ครั้นจิตหลุดพ้นแล้วก็เกิดญาณหยังรู้ว่า "จิตพ้นแล้ว" เธอรู้ชัดว่า "ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความ (หลุดพ้น) เป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนห้วงน้ำใสที่ไหล่เขา ไม่ขุ่นมัว, คนมีจักษุดียืนอยู่บนฝั่งในที่นั้น, เขาจะเห็นหอยต่างๆ บ้าง กรวดและหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง อันหยุดอยู่และว่ายไปในห้วงน้ำนั้น, เขาจะสำเหนียกใจอย่างนี้ว่า "ห้วงน้ำนี้ใส ไม่ขุ่นเลย หอย ก้อนกรวด ปลาทั้งหลาย เหล่านี้ หยุดอยู่บ้างว่ายไปบ้าง ในห้วงน้ำนั้น". ข้อนี้ฉันใด; ภิกษุ ท.! ภิกษุย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว้า "ทุกข์เป็นเช่นนี้ๆ, เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเช่นนี้ๆ, ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ, ข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นเช่นนี้ๆ, และว่า เหล่านี้เป็นอาสวะทั้งหลาย, นี้เหตุแห่งอาสวะทั้งหลาย, นี้ความดับไม่เหลือแห่งอาสวะทั้งหลาย, นี้ข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งอาสวะทั้งหลาย". เมื่อเธอรู้อย่างนี้ จิตก็หลุดพ้นจากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ. ครั้นจิตหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ ว่า "จิตพ้นแล้ว". เธอรู้ชัดว่า "ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความ (หลุดพ้น) เป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก", ฉันนั้นเหมือนกัน.

ภิกษุ ท.! ภิกษุผู้เสร็จกิจแล้ว เช่นดังกล่าวนี้ เราเรียกว่า เป็นสมณะบ้าง, เป็นพราหมณ์บ้าง, เป็นนหาตกะ บ้าง, เป็นเวทคู บ้าง, เป็นโสตติยบ้าง, เป็นอริยะ บ้าง, เป็นอรหันต์ บ้าง.

(ทรงให้คำอธิบายว่า เป็นสมณะ เพราะสงบจากสิ่งที่เป็นอกุศลลามก ที่เป็นไปข้างฝ่ายเศร้าหมอง ที่เอียงไปข้างความต้องเกิดอีก เป็นไปกับด้วยความกระวนกระวาย มีทุกข์เป็นผล เป็นที่ตั้งของความเกิด ความแก่ ความตาย ต่อ ๆ ไป,---เป็นพราหมณ์ เพราะลอยสิ่งที่เป็นอกุศลลามกเสียแล้ว---เป็นนหาตกะ เพราะล้างสิ่งที่เป็นอกุศลลามกแล้ว---เป็นเวทคู เพราะรู้จบสิ้นสิ่งที่เป็นอกุศล ลามกแล้ว---เป้นโสตติยะ เพราะไม่สดับสิ่งที่เป็นอกุศลลามกแล้ว---เป็นอริยะ เพราะไปจากสิ่งที่เป็นอกุศลลามกแล้ว---เป็นอรหันต์ เพราะไกลจากสิ่งที่เป็นอกุศลลามกแล้ว---)

- บาลี พระพุทธภาษิต มหาอัสสปุรสูตร มู.ม. 12/509/477.


เกี่ยวกับธรรมโฆษณ์ออนไลน์ (Disclaimer)
แม้ระบบ "ธรรมโฆษณ์ออนไลน์" พยายามปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้องมากที่สุด ผู้ศึกษาก็พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือต้นฉบับ ที่มีการพิมพ์ครั้งล่าสุด ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง"

  |     |   แจ้งข้อผิดพลาด / แนะนำ
หนังสือที่เกี่ยวข้อง