ไปยังหน้า : |
[Font : 15 ]
|
| | |
1. พยัญชนะ : ทุกข์โดยพยัญชนะ : คือ ทนยาก, ดูแล้วน่าเกลียด, ว่างอย่างน่าเกลียด.
2. อรรถะ : ทุกข์โดยอรรถะ :
2.1 เจ็บปวดทรมาน แม้แต่ความสุขก็ยังต้องทน.
2.2 ดูแล้วน่าเกลียด เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหลอกลวงซ่อนเร้น.
2.3 ว่างอย่างน่าเกลียด เพราะมันว่างจากสารประโยชน์ และความหมายแห่งความเป็นตัวตน.
ความเป็นทุกข์อย่างเจ็บปวดทรมานนั้น ใช้ได้เฉพาะสิ่งที่มีชีวิต. ความน่าเกลียดและความว่างอย่างน่าเกลียด ใช้ได้กับทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต.
3. ไวพจน์ : ทุกข์โดยไวพจน์ :
3.1 โลก (ในการตรัสอริยสัจอีกปริยายหนึ่ง ทรงใช้คำว่า “โลก” แทนคำว่า ทุกข์).
3.2 โรค (ในความหมายว่าเป็นเครื่องเสียบแทง).
4. องค์ประกอบ : ทุกข์โดยองค์ประกอบ :
1. ปัจจัยภายใน: มีอวิชชา ตัณหา เป็นต้น.
2. ปัจจัยภายนอก: มีขันธ์ สังขาร เป็นต้น.
3. การยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) ของปัจจัยภายในที่มีต่อปัจจัยภายนอก.
5. ลักษณะ : ทุกข์โดยลักษณะ : มีลักษณะไม่พึงปรารถนาทุกชนิด :
5.1 ทนยาก (เพราะเปลี่ยนแปลงเรื่อย).
5.2 น่าเกลียด (เพราะหลอกลวง).
5.3 น่ากลัว (เพราะเผาลนท่วมทับ ผูกมัด เสียบแทง ฯลฯ).
5.4 กัดเจ้าของ.
6. อาการ : ทุกข์โดยอาการ :
นัยที่ 1 : ที่เป็นไปตามอำนาจของธรรมชาติ : มีอาการ คือ ความเกิด, ความแก่, ความเจ็บ, ความตาย, ความโศก, ความร่ำไรรำพัน, ความไม่สบายกาย, ความไม่สบายใจ, ความคับแค้นใจ, ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจ, ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจ, ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น.
นัยที่ 2 : ที่เป็นไปตามอำนาจของกิเลส : มีอาการ คือ ความรัก, ความโกรธ, ความเกลียด, ความกลัว, ความตื่นเต้น, ความวิตกกังวล, ความอาลัยอาวรณ์, ความอิจฉาริษยา, ความหวงแหน, ความหึง ฯลฯ
7. ประเภท : ทุกข์โดยประเภท : แบ่งโดยประเภทสอง :
กลุ่มที่ 1 :
1. อยู่ในรูปของนรก (คือเปิดเผย).
2. อยู่ในรูปของสวรรค์ (คือซ่อนเร้น).
กลุ่มที่ 2 :
1. ทุกข์ที่อยู่ในรูปของเวทนา : คือความรู้สึกเจ็บปวดโดยตรง.
2. ทุกข์ที่อยู่ในรูปของลักษณะ : คืออยู่ในลักษณะแห่งความทุกข์แต่หามีเวทนาไม่ (โดยบทว่า: สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์).
8. กฏเกณฑ์ : ทุกข์โดยกฏเกณฑ์ :
8.1 ความทุกข์มีทั้งที่เป็นเพียงลักษณะและเป็นเวทนา.
8.2 ความทุกข์ต้องมีเหตุมีปัจจัย.
8.3 ความทุกข์เกิดที่ตรงไหน ต้องดับที่ตรงนั้น คือดับที่ปัจจัย.
8.4 การศึกษาเรื่องความทุกข์ ต้องศึกษาจากสิ่งที่กำลังมีชีวิต (เพราะเป็นเรื่องของสิ่งมีชีวิต).
8.5 ความทุกข์และความสุขนี้มิได้มาจากกรรมเก่าหรือพระเป็นเจ้าบันดาล; แต่มาจากการปฏิบัติถูกหรือผิดต่อกฎอิทัปปัจจยตา.
9. สัจจะ : ทุกข์โดยสัจจะ
9.1 ทุกข์เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้; เหตุแห่งทุกข์เป็นสิ่งที่ควรละ; ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นสิ่งที่ควรทำให้แจ้ง ; ทางปฏิบัติให้ลุถึงความดับทุกข์ (อริยมรรคมีองค์ 8) เป็นสิ่งที่ควรทำให้มี.
9.2 ทุกข์ไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา เพิ่งจะเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยของทุกข์.
9.3 ความทุกข์ทั้งหลายเกิดที่จิต ต้องดับกันที่จิต.
9.4 ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ; นอกจากทุกข์แล้วหามีอะไรเกิดและดับไม่ (แม้ที่สุดแต่ที่เรียกว่าสุข).
9.5 สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ (แม้ความสุขก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง).
9.6 ในวนแห่งวัฏฏะนั้น มีแต่สิ่งที่เป็นทุกข์.
9.7 การเกิดแห่งธาตุคือการเกิดแห่งทุกข์ (การปรากฏแห่งอสังขตธาตุมิใช่การเกิดแห่งธาตุ).
10. หน้าที่ : ทุกข์โดยหน้าที่ :
10.1 กัดเจ้าของ.
10.2 ปรากฏออกมาทุกคราวที่มีการทำผิดต่อกฎอิทัปปัจจยตา.
11. อุปมา : ทุกข์โดยอุปมา : เปรียบเสมือน :
11.1 แบกของหนัก.
11.2 ไฟเผา.
11.3 โรคเสียบแทง.
11.4 ข้าศึก.
11.5 ความมืด ฯลฯ
11.6 คางคกที่มีเพชรอยู่ในหัว (ความดับทุกข์ที่ซ่อนอยู่ในความทุกข์).
12. สมุทัย : ทุกข์โดยสมุทัย :
12.1 สมุทัยคือกิเลส : ได้แก่อวิชชาให้เกิดตัณหา ; ตัณหาให้เกิดอุปาทาน; อุปาทานให้เกิดทุกข์.
12.2 สมุทัยคือสังขาร : คือ การปรุงแต่งและถูกปรุงแต่งของสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัย ; หยุดการปรุงแต่งก็หยุดทุกข์.
12.3 เมื่อกล่าวโดยสรุป : ความอยากความต้องการด้วยอำนาจของอวิชชาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์. (ต้องมีความอยาก ความต้องการด้วยวิชชาที่เรียกว่า สังกัปปะ ไม่เรียกว่าตัณหาจึงจะไม่เกิดทุกข์).
12.4 สำหรับโลกสมัยปัจจุบันนี้ กล่าวได้ว่า ความทุกข์ทุกชนิดมาจากความเห็นแก่ตัว ด้วยอำนาจของอวิชชา ของคนในโลกนั่นเอง.
13. อัตถังคมะ : ทุกข์โดยอัตถังคมะ :
13.1 การขาดเหตุปัจจัยแห่งความทุกข์ตามครั้งคราว.
13.2 การควบคุมไว้ได้ด้วยสติ โดยเฉพาะในขณะแห่งผัสสะ.
14. อัสสาทะ : ทุกข์โดยอัสสาทะ : คือสิ่งที่กลบเกลื่อนความทุกข์ไว้ โดยความเป็นมายาหลอกลวง เหมือนน้ำตาลที่เคลือบหุ้มยาพิษ.
15. อาทีนวะ : ทุกข์โดยอาทีนวะ : คือการกัดเจ้าของโดยอาการต่างๆ เหลือที่จะกล่าว.
16. นิสสรณะ : ทุกข์โดยนิสสรณะ :
16.1 อริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งในบางที่ก็ตรัสไว้ด้วยถ้อยคำสั้นๆเพียงสองคำว่า สมถะและวิปัสสนา.
16.2 การเห็นสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง คือเห็นอนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา จนไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด.
16.3 การมีปัญญาหรือวิชชา ที่สามารถทำลายความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู ของกูเสียได้.
17. ทางปฏิบัติ : ทุกข์โดยทางปฏิบัติ : ทางปฏิบัติทั่วไปเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ :
17.1 ศึกษาให้รู้จักความทุกข์.
17.2 มีสติป้องกันการเกิดแห่งความทุกข์ (โดยเฉพาะในขณะแห่งผัสสะ).
17.3 มีสมาธิและปัญญากำจัดความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว.
17.4 มีชีวิตอยู่อย่างปราศจากความทุกข์ โดยมีสติในทุกกรณีที่เป็นการป้องกัน แก้ไข รักษา พอกพูน ฯลฯ
17.5 มีมนต์ประจำตัวสำหรับตวาดขับไล่ความทุกข์: เช่น กูไม่เอากับมึง ฯลฯ หรือที่พวกมหายานเขามีว่า “ไป! ไป! ไปที่อื่น! ไปให้หมด!”
17.6 ทำความทุกข์ให้เป็นของว่างหรือสุญญตาไปเสีย แล้วไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด.
18. อานิสงส์ : ทุกข์โดยอานิสงส์ :
18.1 ความทุกข์เป็นครูที่สอนดี สอนให้ฉลาด สอนจริง สอนถูก สอนรุนแรงกว่าความสุข ซึ่งมีแต่ทำให้เหลิง.
18.2 ทำให้เกิดศรัทธาแน่นแฟ้นในสิ่งที่จะเป็นที่พึ่ง.
18.3 ความทุกข์นั่นแหละจะบังคับหรือผลักดันคน ให้รีบออกไปเสียอย่างไม่ให้รีรออยู่.
18.4 ความทุกข์เป็นบทเรียนของชีวิต ที่ทำให้คนเข้มแข็งในการแก้ไขต่อสู้อุปสรรค.
18.5 แท้จริงความทุกข์มิได้มีมาเพื่อให้เราเป็นทุกข์ แต่เพื่อให้เราเป็นคนเก่ง.
19. หนทางถลำ : ทุกข์โดยหนทางถลำ : เข้าไปสู่ความทุกข์ :
19.1 การขาดสติ.
19.2 การทนความยั่วยวนของสิ่งยั่วยวนไม่ได้.
19.3 การไม่ได้ยินได้ฟังได้เห็นเหล่าพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า.
19.4 ไม่ใคร่ครวญธรรมโดยแยบคาย.
20. สิ่งที่ต้องเกี่ยวข้อง : ทุกข์โดยสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้อง : คือ ปัจจัย โอกาส คติแห่งภพ วัฏฏะ.
21. ภาษาคน - ภาษาธรรม : ทุกข์โดยภาษาคน-ภาษาธรรม :
ภาษาคน : สิ่งที่น่ากลัว.
ภาษาธรรม : สิ่งที่ต้องต่อสู้เอาชนะให้ได้ ทำให้ว่างไป.
ธรรมโฆษณ์ที่แนะนำให้อ่าน
1. กข กกา ของการศึกษาพุทธศาสนา
2. ธรรมะเล่มน้อย
3. อริยสัจจากพระโอษฐ์
4. อาสาฬหบูชาเทศนา เล่ม 1
5. โอสาเรตัพพธรรม