ไปยังหน้า : |
[Font : 15 ]
|
| | |
1. พยัญชนะ : นามรูปโดยพยัญชนะ :
นัยที่ 1 : นามและรูป.
นัยที่ 2 : ธรรมชาติน้อมไปตามอารมณ์ และธรรมชาติที่แตกสลายอยู่เป็นปกติ.
2. อรรถะ : นามรูปโดยอรรถ : คือ ใจกับกาย ที่รวมกันทำหน้าที่ อย่างที่ไม่อาจจะแยกกันได้. ความหมายพิเศษของคำๆ นี้ : คือ ของสองอย่างมาร่วมกันทำหน้าที่ จนกลายเป็นของอย่างเดียว ; ถ้าแยกกันเมื่อใดก็ไม่อาจทำหน้าที่ใดๆ. ท่านจึงไม่ถือเอาความหมายของคำๆ นี้ว่า เป็นของสองอย่าง ; แต่เป็นของอย่างเดียว เรียกว่า “นามรูป” ; ไม่เรียกว่า นามและรูป (ความหมายทางไวยากรณ์ของคำๆ นี้ เป็นเอกวัจนะ).
3. ไวพจน์ : นามรูปโดยไวพจน์ :
3.1 ในภาษาธรรม : คือ คำว่าใจกาย.
3.2 ในภาษาคน : คือ คำว่า ชีวิตและร่างกาย.
4. องค์ประกอบ : นามรูปโดยองค์ประกอบ : มีส่วนประกอบ : คือธาตุทั้ง 6 มีวิญญาณธาตุเป็นส่วนสำคัญ ในลักษณะที่เป็นประธาน ; มีรูปธาตุ คือ ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม เป็นปัจจัยประกอบ ; มีอากาศธาตุ (ที่ว่าง) เป็นที่รองรับทั้งหมด.
5. ลักษณะ : นามรูปโดยลักษณะ : มีลักษณะ :
5.1 แห่งสังขารธรรม หรือสังขตธรรม ; เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์ ตามกฎอิทัปปัจจยตา ; อย่างตรงกันข้ามกับอสังขตธรรมโดยประการทั้งปวง.
5.2 หลอกหรือชวนให้ยึดถือว่า “เป็นตัวตนหรือของตน”.
5.3 ซ่อนความเป็น อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา.
6. อาการ : นามรูปโดยอาการ :
6.1 มีอาการของสิ่งที่เป็น อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา ; หากแต่ซ่อนไว้จากสายตาของสามัญชน.
6.2 มีอาการ 3 อย่าง :
1. เป็นไปตามอำนาจของสัญชาตญาณ.
2. เป็นไปตามอำนาจของกิเลส.
3. เป็นไปตามอำนาจของโพธิ.
7. ประเภท : นามรูปโดยประเภท : แบ่งโดยประเภทสอง :
7.1 นามรูปที่มีการยึดครองของอุปาทาน ด้วยอำนาจของอวิชชา ซึ่งกำลังเป็นทุกข์อยู่.
7.2 นามรูปในขณะที่ไม่ถูกยึดครองด้วยอุปาทาน หรือพ้นจากการถูกยึดครอง คือ นามรูปของพระอรหันต์.
8. กฎเกณฑ์ : นามรูปโดยกฎเกณฑ์ :
8.1 นามรูปต้องเป็นสิ่งที่ไม่แยกกัน มิฉะนั้นจะทำอะไรไม่ได้.
8.2 นามรูปต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของนามรูป. ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากนามรูป ต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์นั้นๆ โดยเฉพาะกฎที่เรียกว่า “อิทัปปัจจยตา”.
9. สัจจะ : นามรูปโดยสัจจะ :
9.1 นามรูปเป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ และเป็นปฏิจจสมุปปันนธรรม : คือ ต้องอาศัยปัจจัยแล้วจึงเกิดขึ้น ตามกฎของ “อิทัปปัจจยตา”.
9.2 นามรูปที่เกิดดับอยู่ตามธรรมชาติ ยังมิได้เข้ามาเกี่ยวข้องในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท : คือ ยังไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับอวิชชา เป็นนามรูปที่ยังไม่มีปัญหา หรือจะเรียกว่ายังไม่เกิดก็ได้ ; ต่อเมื่อเข้ามาเกี่ยวข้องในกระแสปฏิจจสมุปบาท จึงจะเรียกว่า เกิดโดยแท้จริง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการดับทุกข์.
9.3 นามรูปย่อมสามารถในการรับอารมณ์ แล้วมีการคิด-การพูด-การกระทำได้ด้วยตัวมันเอง ; โดยไม่ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า อัตตา หรือ อาตมัน.
9.4 นามรูปเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยปัจจัยซึ่งเปลี่ยนแปลงเรื่อย จึงต้องเปลี่ยนแปลงเรื่อยไปตามปัจจัย.
9.5 เมื่อดูด้วยตาจะเห็นว่านามรูปมีอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ถือว่านามรูปเกิด ; จนกว่านามรูปจะได้ทำหน้าที่ในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทตามหน้าที่ของนามรูปแล้วดับไป ; จึงจะเรียกว่านามรูปเกิดหรือนามรูปดับ.
9.6 เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงเกิด ; เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงเกิด ; นามรูปจึงมีลักษณะเป็นทั้งเหตุและผลเช่นเดียวกับปฏิจจสมุปปันนธรรมทั้งหลายอื่น.
10. หน้าที่ : นามรูปโดยหน้าที่ :
นัยที่ 1 : นามรูปมีหน้าที่ (โดยสมมติ) : ปรุงแต่งสฬายตนะเพื่อเกิดผัสสะและเวทนาต่อไป.
นัยที่ 2 : หน้าที่ของมนุษย์ต่อนามรูป : คือ รู้เท่าทันการเกิดขึ้นของนามรูป และการปรุงแต่งทางนามรูป อันจะนำมาซึ่งการเกิดขึ้นแห่งความทุกข์ : ได้แก่ ความมีสติอันจะนำไปสู่ความรู้โดยประจักษ์ว่า นามรูปมิใช่ตนทุกสถานที่ ทุกเวลา.
11. อุปมา : นามรูปโดยอุปมา : เปรียบเสมือน :
11.1 คนสองคน ; คนหนึ่งแข็งแรงตาบอด อีกคนหนึ่งเป็นง่อยตาดี ; อาศัยเป็นคนๆ เดียวกัน อาศัยกันไปไหนมาไหนได้ ไปทำอะไรที่ไหนก็ได้.
11.2 บ่าวพายเรือให้นายนั่ง.
11.3 อุปมาอย่างสมัยปัจจุบัน : เหมือนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า กับกระแสไฟฟ้า.
12. สมุทัย : นามรูปโดยสมุทัย :
12.1 วิญญาณเป็นสมุทัยของนามรูป : เพราะมีการหยั่งลงของวิญญาณในที่ใด ย่อมมีการตั้งขึ้นของนามรูปในที่นั้น.
12.2 การประชุมแห่งธาตุ 6 เป็นสมุทัยแห่งนามรูป.
12.3 เมื่อจิตมีอารมณ์อันเป็นอัสสาทะแห่งสังโยชน์A32 การตั้งขึ้นแห่งนามรูปย่อมมี.
13. อัตถังคมะ : นามรูปโดยอัตถังคมะ :
13.1 ความดับไปตามคราวเพราะขาดเหตุปัจจัยตามธรรมดาของสังขารธรรมหรือสังขตธรรมทั้งหลาย.
13.2 เมื่อวิญญาณ (หรือนาม) ดับ นามรูปก็ดับ.
13.3 เมื่อเห็นความเป็นอนัตตาของนามรูป จนไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในนามรูป ; นามรูปก็หมดความหมาย มีค่าเท่ากับดับไป. นี่เป็นอัตถังคมะในความหมายที่ลึก.
14. อัสสาทะ : นามรูปโดยอัสสาทะ :
นัยที่ 1: นามรูปเป็นอัสสาทะหรือที่ตั้งแห่งอัสสาทะ: โดยความเป็นที่ตั้งแห่งการยึดถือว่าตัวตนอันเป็นที่รักไม่มีอะไรยิ่งกว่าของสามัญสัตว์.
นัยที่ 2: นามรูปมีความหมายเท่ากับความหมายของคำว่าชีวิต : จึงเป็นอัสสาทะสูงสุดของสามัญสัตว์.
นัยที่ 3 นามรูปเป็นอัสสาทะสูงสุด : เมื่อมีการยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน.
15. อาทีนวะ : นามรูปโดยอาทีนวะ : คือ เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานโดยความเป็นตัวตนของตน ; เสมือนหนึ่งสุนัขที่กัดเจ้าของของมันเอง. ถ้าไม่มีความยึดมั่นถือมั่นก็ไม่มีอาทีนวะ.
16. นิสสรณะ : นามรูปโดยนิสสรณะ :
16.1 อริยมรรคมีองค์ 8 เป็นหนทางออกจากโทษหรืออิทธิพลของนามรูป.
16.2 การดับอวิชชาเสีย ย่อมเป็นนิสสรณะจากอุปาทานียธรรมA33 ในทุกความหมายโดยประการทั้งปวง.
16.3 อีกนัยหนึ่ง นิพพานเป็นที่ดับแห่งนามรูป : คือ ดับปัญหาทุกข์โทษทุกอย่างเกี่ยวกับนามรูป.
17. ทางปฏิบัติ : นามรูปโดยทางปฏิบัติ : เพื่อไม่เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ :
17.1 การปฏิบัติอย่างถูกต้องตามปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายนิโรธวาร (ฝ่ายดับ).
17.2 การปฏิบัติตามอริยอัฏฐังคิกมรรค ย่อมสกัดกั้นความทุกข์ทั้งปวงอันจะเกิดจากนามรูป.
17.3 การปฏิบัติเพื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในนามรูป.
18. อานิสงส์ : นามรูปโดยอานิสงส์ :
18.1 อานิสงส์โดยตรงไม่มี. อานิสงส์โดยอ้อม : คือ เป็นวัตถุแห่งการศึกษาเพื่อทำให้แจ้งแห่งนิพพาน ; หรือ ความสิ้นสุดแห่งนามรูปเอง.
18.2 อานิสงส์ของการหลุดพ้นจากนามรูป: คือการดับทุกข์ทั้งปวง.
19. หนทางถลำ : นามรูปโดยหนทางถลำ : สู่ความยึดมั่นในนามรูป : คือ ความหลงใหลในอัสสาทะของนามรูปด้วยอำนาจของอวิชชา.
20. สิ่งที่ต้องเกี่ยวข้อง : นามรูปโดยสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้อง : ในการปล่อยวางนามรูป : คือ วิชชา และวิปัสสนาญาณทุกระดับ.
21. ภาษาคน - ภาษาธรรม : นามรูปโดยภาษาคน - ภาษาธรรม :
21.1 ภาษาคน : กายและใจของคน.
ภาษาธรรม : ธาตุตามธรรมชาติ ไม่มีความหมายแห่งความเป็นคน.
21.2 ภาษาคน : ตัวกู ของกู.
ภาษาธรรม : ธาตุตามธรรมชาติ ที่บุคคลถือเอาเป็นตัวกู ของกู.
ธรรมโฆษณ์ที่แนะนำให้อ่าน
1. ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์
2. พุทธประวัติจากพระโอษฐ์
3. โอสาเรตัพพธรรม