[Font : 15 ]
| |
ทรงแสดงอัปปมัญญาธรรม 4 ชนิด ที่สูงกว่าเดียรถีย์อื่น |  

(พวกเดียรถีย์อื่นถามพระภิกษุที่เข้าไปสนทนาด้วย ว่าพระสมณโคดมแสดงธรรมต่าง จากพวกเดียรถีย์อย่างไร ในเมื่อมีการแสดงเรื่องอัปปมัญญาธรรม 4 คือมีจิตแผ่ไปด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สู่ทิศทั้งปวง ด้วยระเบียบถ้อยคำที่เท่ากันตรงกันทุกคำพูด ภิกษุเหล่านั้นได้เข้าไป เฝ้าพระผู้มีพระภาคกราบทูลถึงเรื่องนี้ ซึ่งได้ตรัสอัปปมัญญาธรรมสี่ในระดับที่สูงขึ้นไปถึงระดับเจโตวิมุตติ มีข้อความดังต่อไปนี้:-)

ภิกษุ ท.! พวกเธอพึงกล่าว (ถาม) ปริพพาชกเดียรถีย์อื่นกล่าวอยู่อย่างนั้น ว่า "ท่านผู้มีอายุ! ก็เมตตาเจโตวิมุตติ ...กรุณาเจโตวิมุตติ ...มุทิตาเจโตวิมุตติ...อุเบกขาเจโตวิมุตติ เจริญกันแล้วอย่างไร มีคติอย่างไร มีธรรมอะไรเป็นอย่างยิ่ง มีผลอย่างไร มีที่สุดจบอย่างไร? (เมื่อตรัส ตรัสทีละอย่าง แยกเป็น 4 ตอน ตามจำนวนของเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา โดยมีลำดับอักษรอย่างเดียวกัน)" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! เมื่อถูกถามอย่างนี้ ปริพพาชกเดียรถีย์อื่น ท. เหล่านั้นจักไม่มีคำตอบ จักอึดอัดใจอย่างยิ่ง. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า? ภิกษุ ท.! เพราะว่า ข้อนั้นไม่อยู่ในวินัย. ภิกษุ ท.! เราไม่มองเห็นใครในโลกพร้อมทั้งเทวโลกมากโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ที่จะตอบปัญหานี้ให้เป็นที่พอใจได้ เว้นเสียแต่ตถาคต หรือสาวกของตถาคต หรือพวกที่ฟังไปจากคนทั้งสองนี้.

ภิกษุ ท.! ก็ เมตตาเจโตวิมุตติ เจริญกันแล้วอย่างไร มีคติอย่างไร มีธรรมอะไรเป็นอย่างยิ่ง มีผลอย่างไร มีที่สุดจบอย่างไร? ภิกษุ ท.! ภิกษุในธรรม-วินัยนี้ ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ ...ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ...วิริยสัมโพชฌงค์...ปีติสัมโพชฌงค์ ...ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ...สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ (เมื่อตรัสตรัสทีละโพชฌงค์ เป็น 7 ตอน ตามจำนวนของสัมโพชฌงค์ แต่ละโพชฌงค์) เป็นสัมโพชฌงค์ที่สหรคตด้วยเมตตา อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะอาศัยนิโรธะ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ. ถ้าภิกษุนั้นหวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่ปฎิกูลในสิ่งที่ไม่ปฎิกูลอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญาว่าปฎิกูลในสิ่งที่ไม่ปฎิกูลนั้นได้ อยู่; ถ้าเธอหวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลในสิ่งที่ปฏิกูลอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฎิกูลในสิ่งที่ปฏิกูลนั้นได้ อยู่; ถ้าเธอหวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่ปฏิกูลอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญาว่า ปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและ สิ่งที่ปฏิกูลนั้นได้ อยู่; ถ้าเธอหวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ปฏิกูลและสิ่งที่ไม่ปฏิกูลอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ปฏิกูลและสิ่งที่ไม่ปฏิกูลนั้นได้ อยู่; ถ้าเธอหวังจะเพิกถอนสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่ปฏิกูล ทั้งสองอย่างนั้นเสีย แล้วเป็นผู้อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้อุเบกขามีสติสัมปชัญญะ ในธรรมนั้นได้ อยู่; อีกอย่างหนึ่ง เธอนั้น ย่อมเข้าถึงสุภวิโมกข์แล้วแลอยู่. ภิกษุ ท.! เรากล่าวเมตตาเจโตวิมุตติ ว่าเป็นธรรมมีสุภวิโมกข์เป็นอย่างยิ่ง. ในกรณีนี้ เป็นวิมุตติของภิกษุผู้มีปัญญาชนิดที่ยังไม่แทงตลอดวิมุตติอันยิ่งขึ้นไป.

ภิกษุ ท.! ก็กรุณาเจโตวิมุตติ เจริญกันแล้วอย่างไร มีคติอย่างไร มีธรรมอะไรเป็นอย่างยิ่ง มีผลอย่างไร มีที่สุดจบอย่างไร? ภิกษุ ท.! ภิกษุในธรรม-วินัยนี้ ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ ...ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ...วิริยสัมโพชฌงค์...ปีติสัมโพชฌงค์...ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์...สมาธิสัมโพชฌงค์..อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นสัมโพชฌงค์ที่สหรคตด้วยกรุณา อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธะ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ. ถ้าภิกษุนั้น หวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลนั้นได้อยู่; ถ้าเธอหวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลในสิ่งที่ปฏิกูลอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลในสิ่งที่ปฏิกูลนั้นได้ อยู่; ถ้าเธอหวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่ปฏิกูลอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่ปฏิกูลนั้นได้ อยู่; ถ้าเธอหวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ปฏิกูลและสิ่งที่ไม่ปฏิกูลอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ปฏิกูลและสิ่งที่ไม่ปฏิกูลนั้นได้ อยู่; ถ้าเธอหวัง จะเพิกถอนสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่ปฏิกูล ทั้งสองอย่างนั้นเสีย แล้วเป็นผู้อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ ในธรรมนั้นได้ อยู่; อีกอย่างหนึ่ง เธอนั้นเพราะการก้าวล่วงเสียได้ ซึ่งรูปสัญญา เพราะการตั้งอยู่ไม่ได้แห่งปฏิฆสัญญาเพราะการไม่ทำในใจซึ่งนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง จึงเข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า "อนันโต อากาโส" ดังนี้ แล้วแลอยู่. ภิกษุท.! เรากล่าวกรุณาเจโตวิมุตติ ว่าเป็นธรรมมีอากาสานัญจายตนะเป็นอย่างยิ่ง.ในกรณีนี้ เป็นวิมุตติของภิกษุ ผู้มีปัญญาชนิดที่ยังไม่แทงตลอดวิมุตติอันยิ่งขึ้นไป.

ภิกษุ ท.! ก็ มุทิตาเจโตวิมุตติ เจริญกันแล้วอย่างไร มีคติอย่างไร มีธรรมอะไรเป็นอย่างยิ่ง มีผลอย่างไร มีที่สุดจบอย่างไร? ภิกษุ ท! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์...ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์...วิริยสัมโพชฌงค์...ปีติสัมโพชฌงค์...ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์...สมาธิสัมโพชฌงค์...อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นสัมโพชฌงค์ที่สหรคตด้วยมุทิตา อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธะ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ. ถ้าภิกษุนั้นหวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลอยู่ เธอก็ย่อม เป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลนั้นได้ อยู่; ถ้าเธอหวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลในสิ่งที่ปฎิกูลอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลในสิ่งที่ปฏิกูลนั้นได้ อยู่; ถ้าเธอหวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่ปฏิกูลอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่ปฏิกูลนั้นได้ อยู่; ถ้าเธอหวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ปฏิกูลและสิ่งที่ไม่ปฏิกูลอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ปฏิกูลและสิ่งที่ไม่ปฏิกูลนั้นได้อยู่; ถ้าเธอหวังจะเพิกถอนสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่ปฏิกูลทั้งสองอย่างนั้นเสีย แล้วเป็นผู้อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ ในธรรมนั้นได้ อยู่; อีกอย่างหนึ่ง เธอนั้น เพราะการก้าวล่วงเสียได้ซึ่งอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง จึงเข้าถึง วิญญาณัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า "อนันตังวิญญาณัง" ดังนี้ แล้วแลอยู่. ภิกษุ ท.! เรากล่าวมุทิตาเจโตวิมุตติว่าเป็นธรรมมีวิญญาณัญจายตนะเป็นอย่างยิ่ง. ในกรณีนี้ เป็นวิมุตติของภิกษุผู้มีปัญญาชนิดที่ยังไม่แทงตลอดวิมุตติอันยิ่งขึ้นไป.

ภิกษุ ท.! ก็อุเบกขาเจโตวิมุตติ เจริญกันแล้วอย่างไร มีคติอย่างไรมีธรรมอะไรเป็นอย่างยิ่ง มีผลอย่างไร มีที่สุดจบอย่างไร? ภิกษุ ท.! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์___ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์___ วิริยสัมโพชฌงค์___ ปีติสัมโพชฌงค์ ___ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์__ สมาธิสัมโพชฌงค์อุเบกขา-สัมโพชฌงค์ เป็นสัมโพชฌงค์ที่สหรคตด้วยอุเบกขา อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธะ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ. ถ้าภิกษุนั้น หวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลนั้นได้อยู่, ถ้าเธอหวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลในสิ่งที่ปฏิกูลอยู่ เธอก็ย่อมเป็ฯผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลในสิ่งที่ปฏิกูลนั้นได้ อยู่, ถ้าเธอหวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่ปฏิกูลอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญาว่าปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่ปฏิกูลนั้นได้อยู่, ถ้าเธอหวังจะเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ปฏิกูลและสิ่งที่ไม่ปฏิกูลอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญาว่าไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ปฏิกูลทั้งสองอย่างนั้นเสีย แล้วก็เป็นผู้อุเบกขา มีสติสัปชัญญะอยู่ เธอก็ย่อมเป็นผู้อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ ในธรรมนั้นได้ อยู่, อีกอย่างหนึ่ง เธอนั้น เพราะการก้าวล่วงเสียได้ซึ่งวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง จึงเข้าถึง อากิญจัญญายตนะ อันมีการทำในใจว่า "นัตถิ กิญจิ" ดังนี้ แล้วแลอยู่. ภิกษุ ท.!เรากล่าวอุเบกขาเจโตวิมุตติ ว่าเป็นธรรมมีอากิญจัญญายตนะเป็นอย่างยิ่ง. ในกรณีนี้เป็นวิมุตติของภิกษุผู้มีปัญญาชนิดที่ยังไม่แทงตลอดวิมุตติอันยิ่งขึ้นไป, ดังนี้แล.

- บาลี มหาวาร. สํ. 19/161/574. ตรัสแก่ภิกษุ ท. ที่หลิททะวสนนิคม โกลิยชนบท.


เกี่ยวกับธรรมโฆษณ์ออนไลน์ (Disclaimer)
แม้ระบบ "ธรรมโฆษณ์ออนไลน์" พยายามปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้องมากที่สุด ผู้ศึกษาก็พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือต้นฉบับ ที่มีการพิมพ์ครั้งล่าสุด ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง"

  |     |   แจ้งข้อผิดพลาด / แนะนำ
หนังสือที่เกี่ยวข้อง