ไปยังหน้า : |
[Font : 15 ]
|
| | |
เห็นปฏิจจสมุปบาท คือฉลาดในเรื่องกรรมPTC60
บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะชาติ (กำเนิด) ก็หามิได้ ;
จะมิใช่พราหมณ์เพราะชาติหน้าก็หามิได้ :
บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะกรรม ; ไม่เป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรม.
บุคคลเป็นชาวนา ก็เพราะกรรม ; เป็นศิลปิน ก็เพราะกรรม,
บุคคลเป็นพ่อค้า ก็เพราะกรรม ; เป็นคนรับใช้ ก็เพราะกรรม,
บุคคลเป็นโจร ก็เพราะกรรม ; เป็นนักรบ ก็เพราะกรรม,
บุคคลเป็นปุโรหิต ก็เพราะกรรม ; แม้เป็นพระราชา ก็เพราะกรรม,
บัณฑิตทั้งหลายย่อมเห็นซึ่งกรรมนั้น ตามที่เป็นจริงอย่างนี้
ชื่อว่าเป็นผู้เห็นซึ่งปฎิจจสมุปบาท เป็นผู้ฉลาดในเรื่องวิบากแห่งกรรม.
โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม หมู่สัตว์ ย่อมเป็นไปตามกรรม
สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นเครื่องรึงรัด เหมือนลิ่มสลักขันยึดรถที่กำลังแล่นไปอยู่.
เพราะการบำเพ็ญตบะ การประพฤติพรหมจรรย์ การสำรวม และเพราะการฝึกตน ; นั่นแหละ บุคคลจึงเป็นพราหมณ์ นั่นแหละ ความเป็นพราหมณ์ชั้นสูงสุด ; บุคคลผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชา 3 เป็นผู้รำงับแล้ว มีภพใหม่สิ้นแล้ว มีอยู่ ; ดูก่อนวาเสฏฐะ ! ท่านจงรู้บุคคลอย่างนี้ ว่าเป็นพรหม เป็นสักกะ ของท่านผู้รู้ ท.
หมายเหตุผู้รวบรวม : ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า แม้อาการที่กรรมให้ผลเพียงคู่เดียว ก็ยังตรัสเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท. เมื่อเห็นปฏิจจสมุปบาท ก็คือเห็นอาการที่กรรมให้ผล. เมื่อถือตามพระพุทธภาษิตนี้ ก็เป็นอันว่าโลกหรือหมู่สัตว์เป็นไปตามอำนาจของปฏิจจสมุปบาท. กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทนั้น จะหยุดเสียได้ด้วยตบะ ด้วยพรหมจรรย์ด้วยสัญญมะ ด้วยทมะ ; และผู้เป็นอย่างนั้น ชื่อว่าเป็นพระพรหม เป็นท้าวสักกะ ในความหมายของพระอริยเจ้าในศาสนานี้.