ไปยังหน้า : |
[Font : 15 ]
|
| | |
ภิกษุ ท.! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่, ได้เกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้นว่า "สัตว์โลกนี้หนอ ถึงทั่วแล้วซึ่งความยากเข็ญ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติ และบังเกิดอีก, ก็เมื่อสัตว์โบกไม่รู้จักอุบายเครื่องออกไปพ้นจากทุกข์คือชรามรณะแล้ว การออกจากทุกข์ คือชรามรณะนี้จักปรากฎขึ้นได้อย่างไร".
ภิกษุ ท.! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอชรามรณะจึงได้มี : ชรามรณะมีเพราะปัจจัยอะไรหนอ".
ภิกษุ ท.! ได้เกิดความรู้สึกด้วยปัญญา, เพราะการคิดโดยแยบคาย,แก่เราว่า "เพราะชาติ นี่เองมีอยู่ ชรามรณะจึงได้มี : ชรามรณะมีเพราะชาติเป็นปัจจัย ;
- เพราะ ภพ นี่เองมีอยู่ ชาติจึงได้มี : ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ;
- เพราะ อุปาทาน นี่เอง มีอยู่ ภพจึงได้มี : ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ;
- เพราะ ตัณหา นี่เองมีอยู่ อุปาทานจึงได้มี : อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ;
- เพราะ เวทนา นี่เองมีอยู่ ตัณหาจึงได้มี : ตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ;
- เพราะ ผัสสะ นี่เองมีอยู่ เวทนาจึงได้มี : เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ;
- เพราะ สฬายตนะ นี่เองมีอยู่ ผัสสะจึงได้มี : ผัสสะมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ;
- เพราะ นามรูป นี่เองมีอยู่ สฬายตนะจึงได้มี : สฬายตนะมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย;
- เพราะ วิญญาณ นี่เองมีอยู่ นามรูปจึงได้มี : นามรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ;
- เพราะ สังขาร นี่เองมีอยู่ วิญญาณจึงได้มี : วิญญาณมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย ;
- เพราะ อวิชชา นี่เองมีอยู่ สังขาร ท. จึงได้มี : สังขาร ท. มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย;" ดังนี้ : เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร ท.; เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดวิญญาณ ;เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป ; เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดสฬายตนะ; เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ;เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา; เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา; เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดอุปาทาน; เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดภพ;เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดชาติ; เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามารณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ท. : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้.
ภิกษุ ท.! ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในสิ่งที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความเกิดขึ้นพร้อม! ความเกิดขึ้นพร้อม! ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.
.... .... ....
ภิกษุ ท.! ความฉงนได้มีแก่เราอีกว่า "เมื่ออะไรไม่มีหนอ ชรามรณะจึงไม่มี : เพราะอะไรดับไปหนอ ชรามรณะจึงดับไป".
ภิกษุ ท.! เพราะการคิดโดยแยบคาย, ได้เกิดความรู้สึกด้วยปัญญาแก่เราว่า "เพราะชาตินี่เองไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี : ชรามรณะดับ เพราะชาติดับ ;
- เพราะ ภพ นี่เองไม่มี ชาติจึงไม่มี : ชาติดับเพราะภพดับ ;
- เพราะ อุปาทาน นี่เองไม่มี ภพจึงไม่มี : ภพดับเพราะอุปาทานดับ ;
- เพราะ ตัณหา นี่เองไม่มี อุปาทานจึงไม่มี : อุปาทานดับ เพราะตัณหาดับ ;
- เพราะ เวทนา นี่เองไม่มี ตัณหาจึงไม่มี : ตัณหาดับเพราะเวทนาดับ ;
- เพราะ ผัสสะ นี่เองไม่มี เวทนาจึงไม่มี : เวทนาดับเพราะผัสสะดับ ;
- เพราะ สฬายตนะ นี่เองไม่มี ผัสสะจึงไม่มี : ผัสสะดับ เพราะสฬายตนะดับ ;
- เพราะ นามรูป นี่เองไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี : สฬายตนะดับ เพราะนามรูปดับ ;
- เพราะ วิญญาณ นี่เองไม่มี นามรูปจึงไม่มี : นามรูปดับ เพราะวิญญาณดับ ;
- เพราะ สังขาร นี่เองไม่มี วิญญาณจึงไม่มี : วิญญาณดับ เพราะสังขารดับ ;
- เพราะ อวิชชา นี่เองไม่มี สังขาร ท. จึงไม่มี : สังขารดับเพราะอวิชชาดับ ;" ดังนี้ : เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ; เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ; เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ; เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ; เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ; เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ; เพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ; เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ; เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ; เพราะภพดับ ชาติจึงดับ; เพราะชาติดับ ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสจึงดับ : ความดับไม่เหลือแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้.
ภิกษุ ท.! ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในสิ่งที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความดับไม่เหลือ! ความดับไม่เหลือ! ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.
- ทสมสูตร พุทธวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. 16/11/26.