[Font : 15 ]
| |
ทรงทราบทิฏธิวัตถุที่ลึกซึ้ง |  

(ทิฎฐิ 62)04.13

ภิกษุ ท.! มีธรรมที่ลึก ที่สัตว์อื่นเห็นได้ยาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตามเป็นธรรมเงียบสงบประณีต ไม่เป็นวิสัยที่จะหยั่งลงง่ายแห่งความตรึก เป็นของละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิตวิสัย, ซึ่งเราตถาคตได้ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอบผู้อื่นให้รู้แจ้ง, เป็นคุณวุฒิเครื่องนำไปสรรเสริญ ของผู้ที่เมื่อจะพูดสรรเสริญเราตถาคตให้ถูกต้องตรงตามที่เป็นจริง. ภิกษุ ท.! ธรรมเหล่านั้นเป็นอย่างไรเล่า?

ภิกษุ ท.! ฯลฯ สมณะหรือพราหมณ์บางพวกในโลกนี้ ฯลฯ (ต่างก็บัญญัติ):

1. เพราะระลึกชาติของตนเองได้หลายแสนชาติ จึงบัญญัติตนและโลกว่า เที่ยงทุกอย่าง.

2. เพราะระลึกชาติของ 10 สังวัฎฎกัปป์-วิวัฎฎกัปป์ (เป็นอย่างสูง) และโลกว่า เที่ยงทุกอย่าง.

3. เพราะระลึกชาติของ 40 สังวัฎฎกัปป์-วิวัฎฎกัปป์ (เป็นอย่างสูง) และโลกว่า เที่ยงทุกอย่าง.

4. เพราะอาศัยความตริตรึกเสมอ แล้วคะเนเอา

(4 อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกสัสสตวาท - เที่ยงทุกอย่าง)

5. เพราะระลึกได้เพียงชาติที่คนเคยจุติไปจากหัวหน้า จึงบัญญัติตนและโลกว่า เที่ยงแต่บางอย่าง.

6. เพราะระลึกได้เพียงชาติที่เคยเป็นเทพพวกขิฑฑาปโทสิกา บัญญัติตนและโลกว่า เที่ยงแต่บางอย่าง.

7. เพราะระลึกได้เพียงชาติที่มโนปโทสิกา บัญญัติตนและโลกว่า เที่ยงแต่บางอย่าง.

8. เพราะอาศัยความตริตรึกอยู่เสมอ แล้วคะเนเอา บัญญัติตนและโลกว่า เที่ยงแต่บางอย่าง.

(4 อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกเอกัจจสัสสตวาท - เที่ยงบางอย่าง)

9. เพราะอาศัยความเพียรบางอย่างบรรลุเจโตสมาธิ ทำความมั่นใจแล้วบัญญัติตนและโลกว่ามีที่สุด.

10. เพราะอาศัยความเพียรบางอย่างบรรลุเจโตสมาธิ ทำความมั่นใจแล้วบัญญัติตนและโลกว่าไม่มีที่สุด.

11. เพราะอาศัยความเพียรบางอย่างบรรลุเจโตสมาธิ ทำความมั่นใจแล้ว มีที่สุดบางด้าน, ไม่มีบางด้าน.

12. เพราะอาศัยความหลงใหลของตนเองแล้วบัญญัติส่ายวาจาว่า โลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่เชิง.

(4 อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกอันตานันติกวาท - เกี่ยวด้วยมีที่สุดและไม่มีที่สุด)

13. เพราะกลัวมุสาวาท จึงส่ายวาจา พูดคำที่ไม่ตายตัว แล้วบัญญัติว่า ข้าพเจ้าเห็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่, --อย่างนี้ก็ไม่ใช่ ฯลฯ (เกี่ยวด้วยกุศล, อกุศล).

14. เพราะกลัวอุปาทาน จึงส่ายวาจา พูดคำที่ไม่ตายตัว แล้วบัญญัติว่า ข้าพเจ้าเห็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่, --อย่างนี้ก็ไม่ใช่ ฯลฯ (เกี่ยวด้วยกุศล, อกุศล).

15. เพราะกลัวการถูกซักไซ้ จึงส่ายวาจา พูดคำที่ไม่ตายตัว แล้วบัญญัติว่า ข้าพเจ้าเห็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่, --อย่างนี้ก็ไม่ใช่ ฯลฯ (เกี่ยวด้วยกุศล, อกุศล).

16. เพราะหลงใหลฟั่นเฟือนในใจเอง จึงส่ายวาจาไม่ให้ตายตัว (เกี่ยวกับโลกิยทิฎฐิ เช่น--โลกหน้ามี ฯลฯ ผลกรรมมี เป็นต้น).

(4 อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกอมราวิกเขปิกวาท - พูดไม่ให้ตายตัว)

17. เพราะระลึกได้เพียงชาติที่ตนเคยเป็นอสัญญีสัตว์ แล้วต้องจุติเพราะสัญญาเกิดขึ้น จึงบัญญัติตนและโลกว่า เกิดเองลอยๆ.

18. เพราะอาศัยการตริตรึกอยู่เสมอ แล้วคะเนเอา แล้วต้องจุติเพราะสัญญาเกิดขึ้น จึงบัญญัติตนและโลกว่า เกิดเองลอยๆ.

(2 อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกอธิจจสมุปปันนิกวาท - เกิดเองลอยๆ)

(ทั้ง 5 หมวด มีรวมทั้งหมด 18 ทิฎฐิ ข้างบนนี้ จัดเป็นพวกปรารภขันธ์ในอดีตกาล)

--- --- --- ---

19. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่มีรูป, เป็นอัตตตาที่ไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

20. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่ไม่มีรูป, เป็นอัตตตาที่ไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

21. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่มีรูปและไม่มีรูป, เป็นอัตตตาที่ไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

22. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่มีรูปก็มิใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่, เป็นอัตตตาที่ไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

23. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่มีที่สุด, เป็นอัตตตาที่ไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

24. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่ไม่มีที่สุด, เป็นอัตตตาที่ไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

25. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่มีที่สุดและที่ไม่มีที่สุด, เป็นอัตตตาที่ไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

26. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่มีที่สุดก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่, เป็นอัตตตาที่ไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

27. บัญญัติอัตตาว่า อัตตามีสัญญาเดียวกัน, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

28. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่มีสัญญาต่างกัน, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

29. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่มีสัญญาน้อย, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

30. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่มีสัญญามากไม่มีประมาณ, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

31. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่มีสุขอย่างเดียว, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

32. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่มีทุกข์อย่างเดียว, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

33. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่มีทั้งสุขและทุกข์, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

34. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญา.

(16 อย่างข้างบนนี้ เป็นพวกสัญญีวาท - มีสัญญา)

35. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่ มีรูป, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะไม่มีสัญญา.

36. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่ ไม่มีรูป, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะไม่มีสัญญา.

37. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่ มีรูปและไม่มีรูป, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะไม่มีสัญญา.

38. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่ มีรูปก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะไม่มีสัญญา.

39. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่ มีที่สุด, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะไม่มีสัญญา.

40. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่ ไม่มีที่สุด. เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะไม่มีสัญญา.

41. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่ มีที่สุดและไม่มีที่สุด, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะไม่มีสัญญา.

42. บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่ มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะไม่มีสัญญา.

(8 อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกอสัญญีวาท - ไม่มีสัญญา)

43. บัญญัติอัตตาที่มีรูป, เป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.

44. บัญญัติอัตตาที่ไม่มีรูป, ป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.

45. บัญญัติอัตตาที่มีรูปและไม่มีรูป, ป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.

46. บัญญัติอัตตาที่มีรูปก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่, ป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะ มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.

47. บัญญัติอัตตาที่มีที่สุด, ป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.

48. บัญญัติอัตตาที่ม่มีที่สุด, ป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.

49. บัญญัติอัตตาที่มีที่สุดและไม่มีที่สุด, ป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.

50. บัญญัติอัตตาที่มีที่สุดก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่, ป็นอัตตาไม่มีโรคหลังจากตายแล้ว เป็นสัตวะมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.

(8 อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกเนวสัญญีนาสัญญีวาท - มีสัญญาก็ไม่เชิง)

51. บัญญัติว่า อัตตาแห่งกายที่เกิดด้วยมหาภูตรูป ตายแล้วขาดสูญ.

52. บัญญัติว่า อัตตาแห่งกายทิพย์ พวกกามาวจร ตายแล้วขาดสูญ.

53. บัญญัติว่า อัตตาแห่งกายทิพย์ พวกสำเร็จด้วยใจคิด ตายแล้วขาดสูญ.

54. บัญญัติว่า อัตตาแห่งสัตว์พวก อากาสานัญจายตนะ ตายแล้วขาดสูญ.

55. บัญญัติว่า อัตตาแห่งสัตว์พวก วิญญาณัญจายตนะ ตายแล้วขาดสูญ.

56. บัญญัติว่า อัตตาแห่งสัตว์พวก อากิญจัญญายตนะ ตายแล้วขาดสูญ.

57. บัญญัติว่า อัตตาแห่งสัตว์พวก เนวสัญญานาสัญญายตนะ ตายแล้วขาดสูญ.

(7 อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกอุจเฉทวาท - ตายแล้วสูญ)

58. บัญญัติว่า อัตตาที่อิ่มเอิบด้วย กามคุณห้า เป็นอัตตาที่ถึงปรมนิพพานในปัจจุบัน.

59. บัญญัติว่า อัตตาที่เข้าถึง ปฐมฌาน เป็นอัตตาที่ถึงปรมนิพพานในปัจจุบัน.

60. บัญญัติว่า อัตตาที่เข้าถึง ทุติยฌาน เป็นอัตตาที่ถึงปรมนิพพานในปัจจุบัน.

61. บัญญัติว่า อัตตาที่เข้าถึง ตติยฌาน เป็นอัตตาที่ถึงปรมนิพพานในปัจจุบัน.

62. บัญญัติว่า อัตตาที่เข้าถึง จตุตถฌาน เป็นอัตตามี่ถึงปรมนิพพานในปัจจุบัน.

(5 อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกทิฎฐธัมมนิพพานวาท - นิพพานในปัจจุบัน)

(ทั้ง 5 หมวดมีรวมทั้งหมดอีก 44 ทิฎฐิข้างบนนี้ เป็นพวกปรารถขันธ์ในอนาคตกาล)

ภิกษุ ท.! สมณะหรือพราหมณ์ก็ดี เหล่าใด กำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดีส่วนอนาคตก็ดี หรือทั้งอดีต อนาคตก็ดี มีความเห็นดิ่งเป็นส่วนหนึ่งแล้ว กล่าวคำแสดงทิฎฐิต่าง ๆ ประการ, ทั้งหมดทุกเหล่า ย่อมกล่าวเพราะอาศัยวัตถุใดวัตถุหนึ่ง ในวัตถุ 62 อย่างนี้ ไม่นอกจากนี้ไปได้เลย--- เขาเหล่านั้น ถูกวัตถุ 62 อย่างนี้ครอบทับทำให้เป็นเหมือนปลาติดอยู่ในอวน ถูกแวดล้อมให้อยู่ได้เฉพาะภายในวงนี้ เมื่อผุด ก็ผุดได้ในวงนี้ เช่นเดียวกับนายประมง หรือลูกมือนายประมงผู้ฉลาด ทอดครอบห้วงน้ำน้อยทั้งหมดด้วยอวน โดยตั้งใจว่า สัตว์ตัวใหญ่ทุก ๆ ตัวในห้วงน้ำนี้ เราจักทำให้อยู่ภายในอวนทุกตัว ฯลฯ ฉะนั้น.

ภิกษุ ท.! เราตถาคตรู้ชัดวัตถุ 62 อย่างนี้ชัดเจนว่า มันเป็นฐานที่ตั้งของทิฎฐิ, ซึ่งเมื่อใครจับไว้ ถือไว้อย่างนั้นๆ แล้ว, ย่อมมีคติ มีภพเบื้องหน้าเป็นอย่างนั้น ๆ ตถาคตรู้เห็นเหตุนั้นชัดเจนยิ่งกว่าชัด, เพราะรู้ชัดจึงไม่ยึดมั่น,เพราะไม่ยึดมั่นย่อมสงบเยือกเย็นในภายในเฉพาะตน, เพราะเป็นผู้รู้แจ้ง ความเกิดความตั้งอยู่ไม่ได้ ความเป็นสิ่งยั่วใจ ความต่ำทราม และอุบายเครื่องหลุดพ้นไปได้แห่งเวทนาทั้งหลาย ตถาคตจึงเป็นผู้หลุดพ้น ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน.

- บาลี สี.ที. 9/16/26. ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่สวนอัมพลัฎฐิกา.


เกี่ยวกับธรรมโฆษณ์ออนไลน์ (Disclaimer)
แม้ระบบ "ธรรมโฆษณ์ออนไลน์" พยายามปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้องมากที่สุด ผู้ศึกษาก็พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือต้นฉบับ ที่มีการพิมพ์ครั้งล่าสุด ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง"

  |     |   แจ้งข้อผิดพลาด / แนะนำ
หนังสือที่เกี่ยวข้อง